ย้อนรอย ประวัติศาสตร์
เมืองอโยธยา ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในอดีต คือ เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร
ซึ่งตั้งมาก่อนที่จะมีการตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยเมืองอโยธยา
มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรละโว้ในอดีต
โดยเมืองได้เสื่อมอำนาจลงเนื่องจากการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรขอม
ที่ตั้งและอาณาเขต
เมืองอโยธยา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 8.4 ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลไผ่ลิง 7 หมู่ ตำบลคลองสวนพลู 2 หมู่ และตำบลหันตรา 1 หมู่
ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลหันตรา
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลคลองสวนพลู
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ทิศตะวันออก ติดกับ
องค์การบริหารส่วนตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ
เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา
ประวัติ
เทศบาลเมืองอโยธยาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะจากเทศบาลตำบลอโยธยาเป็นเทศบาลเมืองอโยธยา
ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล
พ.ศ. 2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล
(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2546 มาตรา 10
"เทศบาลเมืองได้แก่ท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด
หรือท้องถิ่นชุมนุมชนที่มีราษฎรตั้งแต่หนึ่งหมื่นคนขึ้นไป
ทั้งมีรายได้พอควรแก่การที่จะปฎิบัติหน้าที่อันต้องทำตามพระราชบัญญัตินี้
และซึ่งมีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเป็นเทศบาลเมือง
ประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้นให้ระบุชื่อและเขตของเทศบาลไว้ด้วย
พื้นที่ทั่วไปเป็นที่ราบ
ไม่มีป่า ไม่มีภูเขา อยู่นอกเกาะเมือง พระนครศรีอยุธยา โดยมีสะพานสมเด็จพระนเรศวรและสะพานปรีดีธำรงทอดข้ามแม่น้ำป่าสัก
เป็นจุดเชื่อมที่จะข้ามฝั่งจากเกาะเมือง ซึ่งเป็นเขตเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา
เข้าสู่เทศบาลเมืองอโยธยา และมีทางรถไฟจากกรุงเทพมหานคร มุ่งสู่สายเหนือและสายตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแนวแบ่งเขตพื้นที่ของเทศบาลทั้งสองเทศบาล
เมืองอโยธยา ยังมีลำคลองไหลผ่านหลายสาย อาทิ คลองปากข้าวสาร คลองดุสิต คลองหันตรา
คลองกระมัง คลองกุฎีดาว คลองเตาอิฐ คลองไผ่ลิง คลองมเหยงค์ เป็นต้น
ดวงตราที่เป็นรูปวงกลมมีเครื่องขอบเบื้องบนระบุข้อความว่า
"เทศบาลเมืองอโยธยา" และมีกิ่งใบโพธิ์ปรกลงมา
ตรงกลางเป็นรูปวิหารและพระปรางค์ 3 องค์
ส่วนขอบเบื้องล่างเป็นรูปกำแพงเมือง และระบุข้อความว่า
"จังหวัดพระนครศรีอยุธยา " เหตุผลในการกำหนดรูปเครื่องหมายตามแบบก็คือบริเวณพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตเทศบาลเมืองอโยธยานั้นมีประวัติความเป็นมาว่า
เป็นที่ตั้งเมืองอโยธยาในสมัยที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของประเทศไทย
และในสมัยนั้นประชาชนชาวไทยมีความเป็นอยู่ด้วยความสงบสุขและมีความมั่นคั่งสมบูรณ์จึงได้สร้างวัดวาอารามขึ้นมากมายซึ่งในปัจจุบันนี้
วัดวาอารามที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน
ก็ยังคงมีปรากฎแก่สายตาเป็นโบราณสถานโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก
ความหมายของตราเทศบาล
ฉะนั้นการที่นำเอารูปวิหารและพระปรางค์ 3 องค์
มาเป็นแบบเครื่องหมายของเทศบาลเมืองอโยธยาก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายทางประวัติศาสตร์
และให้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง ความสมบูรณ์พูนสุขของเทศบาล
และประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลในปัจจุบันและในอนาคตต่อไปสำหรับกิ่งใบโพธิ์ที่ปรกลงมานั้นก็เพื่อเป็นตราสัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุขที่เทศบาลจะพึงให้แก่ประชาชนในโอกาสต่อไปส่วนกำแพงเมืองในขอบวงกลมเบื้องล่างนั้น
ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเขตเมืองอโยธยา
ประชากรจำนวนประชากร 25,432 คนความหนาแน่น 2,308 คน/ตร.กม.
ก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาบริเวณนี้เคยมีเมืองเก่ามาแล้ว
ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของตัวเมืองปัจจุบัน มีชื่อว่า อโยธยา
หรืออยุธยาเช่นเดียวกัน ซากเมืองที่ยังเหลือร่องรอยให้เห็นบ้างจากแนวคูน้ำคันดิน
และบรรดาศาสนสถานที่ได้รับการเสริมแต่งต่อเติมเรื่อยมา อาทิ วัดอโยธยา (วัดเดิม)
วันมเหยงค์ วัดเจ้าพญาไท หรือวัดใหญ่ชัยมงคล และวันพนัญเชิง
โดยเฉพาะวัดพนัญเชิงนั้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่แบบอู่ทอง ที่พระนครศรีอยุธยา
26 ปี โบราณสถานและศาสนสถานดังกล่าวนี้คือประจักษ์พยานที่เด่นชัดว่าบริเวณนี้มีความรุ่งเรืองจึงขึ้นเป็นนครใหญ่มาช้านานแล้วพงศาวดารระบุว่าสร้างขึ้นก่อนการสร้าง
พระพุทธรูปขนาดใหญ่แบบอู่ทองที่วัดพนัญเชิง
คำเรียกชื่อพระนครว่า
อโยธยา อยุธยา หรือศรีรามเทพนครดังกล่าวนี้
นอกจากแสดงให้เห็นว่าเป็นการนำเอาชื่อและความหมายที่สัมพันธ์กับพระราม
ในคัมภีร์รามายณะของอินเดียโบราณมาใช้ให้เป็นเอกลักษณ์
ของเมืองสำคัญและรัฐที่แต่กต่างไปจากเมืองและรัฐอื่น ๆ แล้ว ยังทำให้ทราบได้ว่า
นครอโยธยาหรืออยุธยานี้ เป็นเมืองสำคัญในรัฐละโว้หรือลวรัฐ
ที่ดำรงอยู่มาแต่สมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 12
เมืองอโยธยาที่มีมาก่อนหน้าการสร้างพระนครศรีอยุธยานั้นคือเมืองหลวงของรัฐละโว้
ที่มีกษัตริย์วงศ์ใหม่ ๆ ที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ครองอยู่
ได้อ้างความสืบเนื่องมาแต่สมัยที่เมืองหลวงของรัฐยังอยู่ทีละโว้ การต่อเนื่องของรัฐนี้ที่มีมาแต่เดิมอีกอยางหนึ่งก็คือ
การเรียกพระนามของพระมหากษัตริย์และเจ้านายพระองค์สำคัญ ๆ ได้แก่
สมเด็จพระรามาธิบดี และพระราเมศวร
ซึ่งล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความสอดคล้องกับชื่อพระนคร
และเมืองที่ลอกเลียนมาจากคัมภีร์รามายณะของอินเดีย
การย้ายจากเมืองอโยธยาเดิมทางด้านตะวันออกมาสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นใหม่นั้น
มีสาเหตุมาจากการเกิดอหิวาตกโรคระบาด เจ้านาย ขุนนาง และผู้คนคงเสียชีวิตกันมาก
เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเองก็ระบุว่า
เมื่อสร้างพระนครใหม่แล้ว สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้าไทยซึ่งเป็นอหิวตกโรคสิ้นพระชนม์ขึ้นพระราชทานเพลิง
ณ วัดป่าแก้ว การเกิดโรคระบาดทำให้สมเด็จพระรามาธิบดีต้องย้ายพระราชฐานมาสร้างพระราชวังที่ประทับชั่วคราว ณ เวียงเล็ก
คือบริเวณที่ต่อมาได้สร้างเป็นวัดพุทธไธสวรรย์ขึ้น ทรงเลือกบริเวณหนองโสนซึ่งเป็นที่ดอนอันเกิดจากการทับถมของลำน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำลพบุรีเป็นที่สร้างพระนครใหม่อันที่จริงแล้ว
บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของเมืองอโยธยามาแต่เดิมแล้ว
เพราะการย้ายไปทางตะวันออกนั้นติดลำน้ำและที่ราบลุ่มต่ำ
ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นนอกจากเป็นที่ดอนแล้ว ยังมีลำน้ำลพบุรีและแม่น้ำเจ้าพระยาไหลโอบทางด้านเหนือ ด้านตะวันตก และด้านใต้
ทำให้เป็นคูเมืองธรรมชาติและเส้นทางคมนาคมในเวลาเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น