Powered By Blogger

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ย้อนรอย ประวัติศาสตร์


ย้อนรอย ประวัติศาสตร์



เมืองอโยธยา ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในอดีต คือ เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งตั้งมาก่อนที่จะมีการตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยเมืองอโยธยา มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรละโว้ในอดีต โดยเมืองได้เสื่อมอำนาจลงเนื่องจากการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรขอม
                   ที่ตั้งและอาณาเขต
        เมืองอโยธยา มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 8.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลไผ่ลิง 7 หมู่ ตำบลคลองสวนพลู 2 หมู่ และตำบลหันตรา 1 หมู่
ทิศเหนือ ติดต่อกับตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา
ทิศตะวันออก ติดกับ องค์การบริหารส่วนตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา

                                       ประวัติ

        เทศบาลเมืองอโยธยาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะจากเทศบาลตำบลอโยธยาเป็นเทศบาลเมืองอโยธยา ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2546 มาตรา 10 "เทศบาลเมืองได้แก่ท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด หรือท้องถิ่นชุมนุมชนที่มีราษฎรตั้งแต่หนึ่งหมื่นคนขึ้นไป ทั้งมีรายได้พอควรแก่การที่จะปฎิบัติหน้าที่อันต้องทำตามพระราชบัญญัตินี้ และซึ่งมีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเป็นเทศบาลเมือง ประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้นให้ระบุชื่อและเขตของเทศบาลไว้ด้วย
                                                                               ภูมิอากาศและภูมิประเทศ
        พื้นที่ทั่วไปเป็นที่ราบ ไม่มีป่า ไม่มีภูเขา อยู่นอกเกาะเมือง พระนครศรีอยุธยา โดยมีสะพานสมเด็จพระนเรศวรและสะพานปรีดีธำรงทอดข้ามแม่น้ำป่าสัก เป็นจุดเชื่อมที่จะข้ามฝั่งจากเกาะเมือง ซึ่งเป็นเขตเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เข้าสู่เทศบาลเมืองอโยธยา และมีทางรถไฟจากกรุงเทพมหานคร มุ่งสู่สายเหนือและสายตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแนวแบ่งเขตพื้นที่ของเทศบาลทั้งสองเทศบาล เมืองอโยธยา ยังมีลำคลองไหลผ่านหลายสาย อาทิ คลองปากข้าวสาร คลองดุสิต คลองหันตรา คลองกระมัง คลองกุฎีดาว คลองเตาอิฐ คลองไผ่ลิง คลองมเหยงค์ เป็นต้น
                                                              ตราเทศบาลเมืองอโยธยา
                                                ภาพ:อโยธยา1.JPG
        ดวงตราที่เป็นรูปวงกลมมีเครื่องขอบเบื้องบนระบุข้อความว่า "เทศบาลเมืองอโยธยา" และมีกิ่งใบโพธิ์ปรกลงมา ตรงกลางเป็นรูปวิหารและพระปรางค์ 3 องค์ ส่วนขอบเบื้องล่างเป็นรูปกำแพงเมือง และระบุข้อความว่า "จังหวัดพระนครศรีอยุธยา " เหตุผลในการกำหนดรูปเครื่องหมายตามแบบก็คือบริเวณพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตเทศบาลเมืองอโยธยานั้นมีประวัติความเป็นมาว่า เป็นที่ตั้งเมืองอโยธยาในสมัยที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของประเทศไทย และในสมัยนั้นประชาชนชาวไทยมีความเป็นอยู่ด้วยความสงบสุขและมีความมั่นคั่งสมบูรณ์จึงได้สร้างวัดวาอารามขึ้นมากมายซึ่งในปัจจุบันนี้ วัดวาอารามที่สร้างขึ้นในสมัยก่อน ก็ยังคงมีปรากฎแก่สายตาเป็นโบราณสถานโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก

 ความหมายของตราเทศบาล
        ฉะนั้นการที่นำเอารูปวิหารและพระปรางค์ 3 องค์ มาเป็นแบบเครื่องหมายของเทศบาลเมืองอโยธยาก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายทางประวัติศาสตร์ และให้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง ความสมบูรณ์พูนสุขของเทศบาล และประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลในปัจจุบันและในอนาคตต่อไปสำหรับกิ่งใบโพธิ์ที่ปรกลงมานั้นก็เพื่อเป็นตราสัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุขที่เทศบาลจะพึงให้แก่ประชาชนในโอกาสต่อไปส่วนกำแพงเมืองในขอบวงกลมเบื้องล่างนั้น ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเขตเมืองอโยธยา
  ประชากรจำนวนประชากร 25,432 คนความหนาแน่น 2,308 คน/ตร.กม.
        ก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาบริเวณนี้เคยมีเมืองเก่ามาแล้ว ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของตัวเมืองปัจจุบัน มีชื่อว่า อโยธยา หรืออยุธยาเช่นเดียวกัน ซากเมืองที่ยังเหลือร่องรอยให้เห็นบ้างจากแนวคูน้ำคันดิน และบรรดาศาสนสถานที่ได้รับการเสริมแต่งต่อเติมเรื่อยมา อาทิ วัดอโยธยา (วัดเดิม) วันมเหยงค์ วัดเจ้าพญาไท หรือวัดใหญ่ชัยมงคล และวันพนัญเชิง โดยเฉพาะวัดพนัญเชิงนั้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่แบบอู่ทอง ที่พระนครศรีอยุธยา 26 ปี โบราณสถานและศาสนสถานดังกล่าวนี้คือประจักษ์พยานที่เด่นชัดว่าบริเวณนี้มีความรุ่งเรืองจึงขึ้นเป็นนครใหญ่มาช้านานแล้วพงศาวดารระบุว่าสร้างขึ้นก่อนการสร้าง

                                               พระพุทธรูปขนาดใหญ่แบบอู่ทองที่วัดพนัญเชิง
        คำเรียกชื่อพระนครว่า อโยธยา อยุธยา หรือศรีรามเทพนครดังกล่าวนี้ นอกจากแสดงให้เห็นว่าเป็นการนำเอาชื่อและความหมายที่สัมพันธ์กับพระราม ในคัมภีร์รามายณะของอินเดียโบราณมาใช้ให้เป็นเอกลักษณ์ ของเมืองสำคัญและรัฐที่แต่กต่างไปจากเมืองและรัฐอื่น ๆ แล้ว ยังทำให้ทราบได้ว่า นครอโยธยาหรืออยุธยานี้ เป็นเมืองสำคัญในรัฐละโว้หรือลวรัฐ ที่ดำรงอยู่มาแต่สมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 12
        เมืองอโยธยาที่มีมาก่อนหน้าการสร้างพระนครศรีอยุธยานั้นคือเมืองหลวงของรัฐละโว้ ที่มีกษัตริย์วงศ์ใหม่ ๆ ที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ครองอยู่ ได้อ้างความสืบเนื่องมาแต่สมัยที่เมืองหลวงของรัฐยังอยู่ทีละโว้ การต่อเนื่องของรัฐนี้ที่มีมาแต่เดิมอีกอยางหนึ่งก็คือ การเรียกพระนามของพระมหากษัตริย์และเจ้านายพระองค์สำคัญ ๆ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดี และพระราเมศวร ซึ่งล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความสอดคล้องกับชื่อพระนคร และเมืองที่ลอกเลียนมาจากคัมภีร์รามายณะของอินเดีย
        การย้ายจากเมืองอโยธยาเดิมทางด้านตะวันออกมาสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นใหม่นั้น มีสาเหตุมาจากการเกิดอหิวาตกโรคระบาด เจ้านาย ขุนนาง และผู้คนคงเสียชีวิตกันมาก เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเองก็ระบุว่า เมื่อสร้างพระนครใหม่แล้ว สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้าไทยซึ่งเป็นอหิวตกโรคสิ้นพระชนม์ขึ้นพระราชทานเพลิง ณ วัดป่าแก้ว การเกิดโรคระบาดทำให้สมเด็จพระรามาธิบดีต้องย้ายพระราชฐานมาสร้างพระราชวังที่ประทับชั่วคราว ณ เวียงเล็ก คือบริเวณที่ต่อมาได้สร้างเป็นวัดพุทธไธสวรรย์ขึ้น ทรงเลือกบริเวณหนองโสนซึ่งเป็นที่ดอนอันเกิดจากการทับถมของลำน้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำลพบุรีเป็นที่สร้างพระนครใหม่อันที่จริงแล้ว บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายตัวของเมืองอโยธยามาแต่เดิมแล้ว เพราะการย้ายไปทางตะวันออกนั้นติดลำน้ำและที่ราบลุ่มต่ำ ส่วนทางด้านตะวันตกนั้นนอกจากเป็นที่ดอนแล้ว ยังมีลำน้ำลพบุรีและแม่น้ำเจ้าพระยาไหลโอบทางด้านเหนือ ด้านตะวันตก และด้านใต้ ทำให้เป็นคูเมืองธรรมชาติและเส้นทางคมนาคมในเวลาเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น